นิทานสีขาว
จาก เรื่องเล่าทุกเช้าที่โรงเรียนสัตยาไส โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
บุญมาผู้มีใจริษยา
ทองคำ เละ บุญมา เป็นชาวนาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทองคำเป็นคนฉลาด ขยันขันแข็ง มีความพอใจในความเป็นอยู่ของตน ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีความสุขมากคนหนึ่ง ส่วนบุญมาเป็นคนเกียจคร้าน จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนมี และคอยคิดริษยาผู้ที่มีดีกว่าตนเสมอ ด้วยเหตุนี้บุญมาจึงไม่เคยได้รู้จักกับความสุขในชีวิตของเขาเลย
นอกจากจะเป็นคนที่มีความสุขแล้ว ความมีอัธยาศัยไมตรีของทองคำก็ทำให้เป็นที่รักของคนในหมู่บ้านด้วย ชาวบ้านชอบแวะเวียนมาพูดคุยกับทองคำ และสรรหาสิ่งดีๆ มามอบให้แก่ทองคำเสมอ นั่นทำให้บุญมารู้สึกริษยาทองคำมาก ทั้งๆ ที่ทองคำไม่เคยทำอะไรบุญมา แต่การที่ทองคำเป็นที่รักของใครๆ และมักจะได้รับสิ่งดีๆ อยู่ตลอด นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้คนจิตใจริษยาอย่างบุญมารู้สึกเกลียดชังน้ำหน้าเขา
นับวัน บุญมายิ่งเพิ่มพูนความอิจฉาริษยาในใจที่มีต่อทองคำมากขึ้น เพียงแค่เห็นหน้าก็พาลรู้สึกโกรธเกลียดจนอยากจะเข้าไปทำร้าย แต่ทองคำเป็นที่รักของชาวบ้าน และชาวบ้านทุกคนก็พร้อมจะช่วยเหลือปกป้องทองคำเสมอยามเขาเดือดร้อน ดังนั้น บุญมาจึงได้แต่เก็บความแค้นเคืองของตนเองไว้ในใจ แล้วเข้าไปสาปแช่งทองคำให้ประสบกับความวิบัติล่มจมต่อหน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านแทน
“ข้าแต่พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์” บุญมาพนมมือกล่าวต่อหน้าองค์พระ แววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “วันนี้ข้าได้นำเครื่องบูชามากมายมามอบแก่ท่าน เพียงเพื่อให้ท่านช่วยบันดาลในสิ่งที่ข้าต้องการสักเล็กน้อย นั่นคือ ข้าอยากขอให้ท่านมอบความวิบัติฉิบหายให้แก่ไอทองคำ ผู้ที่ข้าเกลียดยิ่งกว่าสัตว์เลื้อยคลาน ข้าขอให้ไร่นาของมันเก็บเกี่ยวไม่ได้ ขอให้ วัว ควาย ที่มันเลี้ยงไว้ล้มตายจนหมด ขอให้มันไม่มีอะไรจะกิน ขอให้มันไม่มีความสุข ให้มันตายไปในสามวันเจ็ดวันได้ยิ่งดี...หากท่านช่วยทำให้คำขอของข้าเป็นจริงทุกประการ ข้าจะนำเครื่องบูชาที่มากกว่านี้มาถวายท่านอีก”
เมื่อสิ้นเสียงร้องขออันอัปมงคลของบุญมา หนูตัวหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันวิ่งตรงเข้าไปยังเครื่องบูชาของบุญมาและเหยียบย่ำสิ่งของเหล่านั้น บุญมาตกใจ รีบเอาไม้กวาดที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาไล่ตี แต่เจ้าหนูตัวเล็กว่องไวมาก มันหลบซ้ายหลบขวาหนีไม้กวาดในมือของบุญมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อมันวิ่งย่ำบนเครื่องบูชาจนเละเทะเป็นที่พอใจแล้ว มันก็หนีหายไปทางรูกำแพงเล็กๆ ด้านหลังพระพุทธรูป
บุญมาหันกลับมาเก็บเครื่องบูชาของตนเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ก่อนจะกราบลาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แล้วกลับไปรอชมความหายนะของทองคำอยู่ที่บ้านอย่างเบิกบานใจ
แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประสาทแต่พรที่บริสุทธิ์ และช่วยเหลือเพียงผู้ที่ประพฤติดี ดังนั้นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จึงไม่รับเครื่องบูชาของบุญมา ซ้ำยังมอบความเมตตาให้แก่ทองคำผู้ที่อยากให้ทุกคนในหมู่บ้านมีความสุขเช่นเดียวกับตัวเขา โดยที่ทองคำมิต้องอ้อนวอนขอ
ดังนั้น ในคืนหนึ่ง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จึงมาเข้าฝันทองคำ และบอกแก่เขา
“ทองคำเอ๋ย หลังจากที่เจ้าพากเพียรทำงานหนักอย่างยากลำบากมาเป็นแรมเดือน ในพรุ่งนี้เจ้าจะได้พบกับผลผลิตซึ่งคุ้มกับความพากเพียรของเจ้า จงลุกขึ้นไปทำไร่เสียเดี๋ยวนี้เถิด เพราะสิ่งที่ว่านั้นได้รอคอยเจ้าอยู่แล้ว”
ทองคำสะดุ้งตื่นจากความฝันอันน่าอัศจรรย์ใจนั้น เขานิ่งทบทวนเรื่องราวที่พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์กล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วถือจอบเสียมไปที่ไร่ตั้งแต่เช้ามืดของวันนั้น
เมื่อมาถึงที่ไร่ ทองคำก็ทำงานของตนไปตามปกติ จนกระทั่งมาถึงแปลงฟักทอง ทองคำจึงได้พบกับฟักทองยักษ์ลักษณะประหลาดผลหนึ่งขึ้นเด่นมาตรงกลางแปลง เปลือกของฟักทองนี้เป็นสีรุ้งทั้งเจ็ด ตัวผลมีกลิ่นหอมดั่งดอกมะม่วง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเท้าสี่เท้า หาง และงวง งอกขึ้นมาด้วย ซึ่งทำให้แลดูเหมือนช้างมากทีเดียว
ทองคำคิดว่า ฟักทองมหัศจรรย์นี้ควรค่าแก่การเป็นของขวัญแด่พระราชามากกว่า ดังนั้นทองคำจึงห่อฟักทองไว้ในผ้าอย่างดี แล้งออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อมอบของขวัญสุดมหัศจรรย์นี้ให้แก่พระราชาที่เขาเทิดทูน
เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปถวายสิ่งของได้ ทองคำจึงนำฟักทองมหัศจรรย์วางไว้เบื้องพระบาทของพระราชา เพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะแก่พระองค์ พระราชาทอดพระเนตรฟักทองของทองคำแล้วทรงโปรดนัก ถึงกับทรงอุทานว่า
“โอ้! ดูฟักทองนี่สิ ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้ ข้าชอบมากทีเดียว ดีล่ะ...เพื่อเป็นการตอบแทนของขวัญอันแสนวิเศษจากเจ้า ข้าจะมอบช้างลักษณะดีให้แก่เจ้าหนึ่งเชือกด้วยเช่นกัน”
ทองคำซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระราชา เขากราบพระบาทพระราชา แล้วทูลลากลับหมู่บ้านของตนด้วยความปีติ
เรื่องของทองคำเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ในไม่ช้าความก็รู้ไปถึงหูบุญมาจนได้ แน่นอนว่าทำให้เขารู้สึกริษยาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ไอทองคำนี่มันดวงแข็งเสียจริง! ข้าไม่ยอมหรอก ข้าจะต้องทำให้พระราชาทรงโปรดข้ามากกว่าไอทองคำ” บุญมาคิดในใจ “ถ้าพระราชาทรงโปรดข้า พระราชาก็ต้องให้ของขวัญตอบแทนข้าดีกว่าที่ให้มัน ถ้ากะอีแค่ช้างฟักทองนั่นทำให้พระราชาทรงโปรดได้ ช้างเป็นๆ ก็ต้องทำให้พระองค์ทรงโปรดยิ่งกว่า พระราชาอาจจะพระราชทานหมู่บ้านให้เราสักสองสามแห่ง และแต่งตั้งให้เราเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านก็ได้ ใครจะรู้”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นบุญมาจึงป่าวประกาศขายไร่นา วัว ควาย และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขา แล้วเอาเงินไปซื้อช้างใหญ่เชือกหนึ่ง จากนั้นบุญมาจึงออกเดินทางเพื่อนำช้างไปถวายพระเจ้าแผ่นดินในเมืองหลวง
บุญมาได้เข้าเฝ้าพระราชาเช่นเดียวกับทองคำ แต่เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นช้างที่บุญมานำมาถวาย พระองค์ก็ไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใดชาวนาผู้นี้จึงนำช้างเป็นๆ และไม่ใช่ช้างลักษณะดีอะไรมาถวายพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ก็มีช้างหลวงลักษณะดีอยู่แล้วหลายเชือก ดังนั้นพระราชาจึงยังไม่รับช้างของบุญมา และตรัสเรียกเสนาบดีผู้หนึ่งให้เข้ามา พร้อมกับทรงมีพระบัญชาให้เสนาสอบสวนที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้ทรงหายคลางแคลงพระทัยเสียก่อน
เสนาบดีคนนี้เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ดังนั้นเมื่อได้พูดคุยซักถามเรื่องราวต่างๆ จากบุญมา เขาก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าความริษยาคือแรงผลักดันที่ทำให้บุญมานำช้างมาถวายพระราชา เมื่อทราบเช่นนั้นแล้ว เสนาบดีจึงเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระองค์รับทราบ
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านผู้นี้ยืนยันที่จะมอบช้างของเขาแก่เรา ดังนั้น เราจึงต้องรับช้างเชือกนั้นไว้ แต่จะให้สิ่งใดเป็นการตอบแทนเขาดีเล่า จึงจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หือ...ท่านเสนาบดี” พระราชาตรัสถามเสนาบดีเพื่อขอความเห็น
“กราบทูลใต้ฝ่าละอองพระบาท พระองค์ทรงพระราชทานช้างลักษณะสวยงามแก่ชาวนาคนก่อนที่นำฟักทองมหัศจรรย์มาถวาย ดังนั้นจึงควรพระราชทานฟักทองผลงามผลหนึ่งแก่ชาวนาผู้นี้ที่เอาช้างมาถวายพระองค์เถิดพระเจ้าข้า” เสนาบดีทูลตอบอย่างชาญฉลาด
เมื่อบุญมาได้รับฟักทองธรรมดาผลหนึ่งเป็นของขวัญจากพระราชา ก็ตรอมใจเป็นอย่างยิ่ง เขาขายไร่นา สัตว์เลี้ยง และสมบัติอื่นๆ จนหมดเพื่อซื้อช้างมาถวาย โดยหวังสิ่งตอบแทนที่มีราคามากกว่าจากพระราชา บัดนี้เขาไม่เหลืออะไรติดตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบุญมากลับไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านในที่นั้นต่างพากันหัวเราะเยาะและขับไล่ไสส่งบุญมาเหมือนเขาเป็นสัตว์ชั้นต่ำน่ารังเกียจ เช่นเดียวกับที่บุญมาเคยรู้สึกกับทองคำ บุญมาจึงจำเป็นต้องระเห็จออกจากหมู่บ้าน และเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ อย่างคนไม่มีจุดมุ่งหมาย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะความริษยาของเขาเองโดยแท้
...................เธอทั้งหลาย...................
คนเราล้วนเกิดมาบนรากฐานชีวิตที่แตกต่างกัน เมื่อเติบโตขึ้น เราทุกคนก็ยังมีชีวิตที่แตกต่างกันด้วย ไม่มีใครมีอะไรที่เหมือนกันได้ทุกอย่างหรอก เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะมีไม่เท่าใครเขา และเขาอาจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเธอ...แต่นั้นแหละคือความหมายของชีวิต ความแตกต่างนั้นคือความสวยงามที่ทำให้โลกของเรามีสีสัน ด้วยจังหวะของชีวิตผู้คนที่แตกต่างกันไป เพื่อให้ทุกคนมีหน้าที่ ตามรูปแบบชีวิตของแต่ละคน
ถ้าเธอคิดได้เช่นที่กล่าวมา เธอจะเป็นคนที่มีความสุข เพราะสามารถใช้ชีวิตของตนเองไปตามครรลองที่ควรจะเป็นดังเช่นทองคำ แต่หากเธอไม่รู้สึกพอใจในตนเอง ไม่เพียรพยายามใช้วิธีสุจริตที่ทำให้ตนเองได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า มัวเสียเวลาไปกับการริษยาทำร้ายคนอื่นดังเช่นบุญมา ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเธอก็จะมีจุดจบดังเช่นบุญมา คือ ไม่มีความสุข ขาดมิตรแท้ ไร้ความรัก และต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในที่สุด
เราไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างมั่งมีหรอก แต่เราจำเป็นต้องอยู่อย่างคนที่มีความสุข เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดริษยาใคร ความริษยาจะทำให้เธอเสียความสุขไปทันทีที่เธอคิดริษยาผู้อื่น เชื่อเถอะว่า...ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวนักดอก วันนี้เธอยังอยู่ พรุ่งนี้เธออาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ และในเมื่อชีวิตมันสั้นเพียงเท่านี้ เธอจะทำให้ชีวิตของตนเองลิ้มรสความสุขน้อยลงอีกทำไม...
..............จบเรื่องบุญมาผู้มีใจริษยา................