ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียายกับหลานอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่งกลางป่าลึก ซึ่งมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ ของป่าที่จะนำมาเป็นอาหารและยารักษาโรคก็มีมากมาย ทุก ๆ วัน ยายจะออกไปหาของป่ามาเป็นอาหารและนำไปขาย
อยู่มาวันหนึ่งยายพร้อมหลานชายวัน ๑๕ ปี ได้ออกไปหาของป่าเช่นเคย หลานเก็บของป่าได้หลายอย่าง มีกล้วย มะม่วง และขิง แล้วก็กลับมาถึงกระท่อมก่อน ยายและนำขิงมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง เพื่อจะนำไปขายในวันหลัง ตลาดที่จะนำสิ่งของไปขายนั้นอยู่ไกลมาก จะต้องเดินทางประมาณ ๒-๓ วัน จึงจำเป็นต้องตากให้แห้งสนิทดี เพื่อป้องกันของเน่าเสีย
หลานชายเป็นเด็กขยันมาก ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นเวลาเที่ยงวันแล้ว แต่ยังไม่ยอมกินข้าว ด้วยความอยากได้ของป่าไปขายมาก ๆ จึงจะกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง
ขณะนั้นยายกลับมาจากป่าด้วยความหิวข้าว ตั้งใจจะมากินข้าวพร้อมกับหลานชาย แต่หลายชายบอกยายว่า “รอหลานอีกซักหน่อยเถอะนะยาย หลายจะไปเก็บของป่าให้ได้มาก ๆ หลานจะไปอีกรอบหนึ่งนะยาย” หลานชายบอกยายแล้วก็เข้าป่าอีกครั้งไม่นานนักหลานชายก็กลับเข้ามา นำของที่หามาได้ไปผึ่งแดดเหมือนเดิม ขณะทีเดินผ่านของที่ผึ่งแดดไว้เมื่อเช้านี้ ก็เห็นขิงที่ผึ่งไว้มันหดหายไปก็โกรธกับยาย กล่าวหาว่ายายเอาขิงไปซ่อนไว้เพื่อจะนำไปขายเอง ที่จริงขิงมันเหี่ยวมองดูทำให้เข้าใจว่าหายไปมากทีเดียว
ขณะที่ยายพยายามชี้แจงว่าของที่หลานชายผึ่งแดดไว้นั้น มันเหี่ยวแห้งเพราะถูกแดดถูกลม หลายชายไม่ฟังยายกลับโมโหสุดขีด ฉวยไม้ตะบองตีหัวยายจนตายคาที่ โดยที่ยายไม่มีโอกาสอธิบายรายละเอียดให้หลานฟังให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลย
“สเว็ตเตอเจา ๆ ๆ ๆ ๆ” (สเว็ตเตอเจา ภาษาเขมรถิ่นไทยสุรินทร์ สเว็ต แปลว่าเหี่ยวแห้ง, เตอ แปลว่า ดอก, หรอก เจา แปลว่า หลาน) หมายความว่า “เหี่ยวหรอกนะหลานนะ” ก็คือยายร้องบอกว่า “มันเหี่ยวหรอกนะหลาน”
นกชนิดนี้มีเสียงร้อง “สเว็ตเตอเจา ๆ ๆ ๆ ๆ” มาตราบเท่าทุกวันนี้ หากออกไปเดินเล่นแถว ๆ ท้องทุ่งนาจะได้ยินเสียงนกชนิดนี้ ร้องอธิบายให้ฟังว่าของที่หลานหามาได้แล้วผึ่งแดด ผึ่งลมไว้มันก็เหี่ยวแห้งไปเอง ยายไม่ได้เอาไปซ่อนหรอกนะหลานนะ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การถือเอาความโกรธเป็นใหญ่ โดยยังไม่ได้รับฟังเหตุผล เห็นสาเหตุแห่งความหายนะ จึงไม่ควรให้ความโกรธ มีอำนาจเหนือเหตุผลและความจริง
ชอบครับ
ตอบกลับลบ