หลวงตาองค์หนึ่งเป็นคนขี้โมโห ไม่ว่าทำอะไรผิดนิดผิดหน่อยก็โมโหไปหมด โมโหกระทั่งแมลงหวี่แมลงวัน อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ออกมาบิณฑบาตรไปตามบ้าน พอไปถึงบ้านไหนหมาก็เห่าไปหมดทุกบ้าน หลวงตาก็เกิดโมโห บ่นพึมพำว่า
“เห่าหาพ่อหาแม่เอ็งรึไงวะ”
ฝ่ายอ้ายจุกซึ่งเดินตามหลวงตามา ได้ยินหลวงตาบ่นพึมพำอยู่ ก็ถามหลวงตาว่า
“หลวงตาครับ หลวงตาบ่นอะไรพึมพำอยู่ครับ”
“ข้าไม่ได้พูดกับเอ็ง ข้าพูดกับหมา”
ครั้นไปถึงวัด อ้ายจุกก็เที่ยวไปคุยกับใครต่อไปใครว่าหลวงตาของมันสามารถ พูดคุยกับหมาได้ ชาวบ้านก็พากันมาถามหลวงตากันใหญ่ ว่าที่อ้ายจุกพูดนะมันจริงหรือ
วันต่อมาหลวงตาหาไม้มาให้อ้ายจุก แล้วสั่งว่า “เอ็งเจอหมาละก็ตีเลย มันจะได้ไม่เห่า”
ฝ่ายอ้ายจุกนั้นไม่ได้ตีแต่หมา ไปเจอต้นไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้ก็ตี จนชาวบ้านมาต่อว่าหลวงตา จึงเรียกอ้ายจุกมาหาแล้วสอนอ้ายจุกว่า “ต่อไปเอ็งอย่าไปตีต้นไม้นะ เอ็งตีแต่ไอ้ที่มันกวนใจข้า”
พอหลวงตาฉันข้าว อ้ายจุกก็ถือไม้อันนั้นแหละปัดแมลงวัน ครั้นพอแมลงวันจับถ้วยชามใบไหน อ้ายจุกก็ตีจนถ้วนชามนั้นแตกหมด และแล้วแมลงวันตัวหนึ่ง ก็บินมาเกาะที่จมูกของหลวงตา หลวงตาก็เรียกอ้ายจุกพร้อมกับยื่นจมูก “ฮื่อ ๆ” อ้ายจุกเห็นดังนั้นจึงเงื้อไม้เต็มเหนี่ยวฟาดลงไปที่จมูกหลวงตา หลวงตาก็คลำจมูก พร้อมกับรำพึงในใจว่า “เจ็บจนได้ เพราะความขี้โมโหแท้ ๆ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ๑. ความโกรธหรือความโมโห ถือว่าเป็นคนกิเลสอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนไฟที่คอยเผาตัวเอง ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย มีแต่โทษ ฉะนั้นพึงระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ๒. การใช้เด็กทำอะไรก็ตาม ต้องคิดดูให้ดีก่อน เพราะเด็กก็คือเด็ก มักทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่รู้จักกาลเทศะ เห็นแก่ความสนุกสนานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใช้เด็กทำกิจการงานใด ๆ อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้โดยง่าย ฉะนั้นถ้าจะใช้เด็กทำอะไร ก็ต้องให้เหมาะสมกับวัย
0 ความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น