กระต่ายตัวหนึ่งหลงทะนงในฝีเท้าของตนว่าสามารถวิ่งได้รวมเร็วดุจสายลม ในป่าที่อาศัยอยู่ไม่มีสัตว์ตัวใดสามารถเอาชนะมันได้ วันหนึ่งพบเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงกล่าววาจาเยาะเย้ยด้วยความคึกคะนอง
“มัวแต่คลานเชื่องช้าอยู่แบบนี่เมื่อไหร่จะไปถึงจุดหมายปลายทางเล่าเพื่อน อย่างเจ้านี้ข้าต่อให้คลานล่วงหน้าไปก่อนสักครึ่งวันก็คงวิ่งตามทัน”
“ไม่ต้องต่อให้ข้าหรอก” เต่ารู้สึกไม่พอใจ “กระต่ายขี้โม้อย่างเจ้าไม่เห็นว่าจะเก่งกาจตรงไหน ไม่เชื่อเรามาลองวิ่งแข่งกันก็ได้”
“ว่าไงนะ” กระต่ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เจ้าน่ะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ฮะ ฮะ ฮะ…”
กระต่ายยืนหัวเราะจนท้องแข็ง พอดีหมาจิ้งจอกเดินผ่านมาทั้งสองจึงเชิญให้เป็นกรรมการตัดสิน
เมื่อเริ่มการแข่งขัน กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้า ครั้นถึงกลางทางลองเหลียวกลับไปมองข้าหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของคู่แข่ง เจ้ากระต่ายจึงชะล่าใจแวะเข้าไปนอนกระดิกขาเล่นที่ใต้ร่มไม้ใหญ่
“หลับเอาแรงสักงีบดีกว่า” กระต่ายทำท่าบิดขี้เกียจ “เอาไว้พอเจ้าหลังตุงมาถึงแถวนี้ ค่อยตื่นขึ้นมาเต้นระบำไปรอบ ๆ ตัวมันจนกว่าจะถึงเส้นชัย”
สายลมเย็นโชยเฉื่อยฉิว ไม่นานนักเจ้ากระจ่ายผู้ประมาทก็เผลอลับไปจริงๆ ฝ่ายเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยม ๆ อย่างไม่ย่อท้อโดยมีเพื่อนสัตว์ป่าเดินตามส่งเสียงเชียร์เพื่อให้กำลังใจ เนื่องจากทุกตัวต่างชังน้ำหน้าเจ้ากระต่ายขี้คุย ยกเว้นแต่ตอนผ่านต้นไม้ซึ่งเจ้ากระต่ายกำลังหลับฝันหวานอยู่เท่านั้นที่สัตว์ทุกตัวต่างพากันเงียบเสียง
เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นข้นมาเมื่อได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง เห็นรอยเท้าสัตว์ต่าง ๆ มากมายบนทางที่ใช้แข่งขันรู้สึกผิดสังเกต มันรีบวิ่งไปข้าหน้าอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาจึงเห็นคู่แข่งของมันกำลังจะคลานเข้าสู่เส้นชัย เจ้ากระต่ายออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าแต่ก็สายไปแล้ว
พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความประมาทย่อมนำมาซึ่งความผิดหวังและพ่ายแพ้ ผู้เพียรพยายามย่อมประสบผลสำเร็จ
0 ความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น